CDN คืออะไร?

Content Delivery Network (CDN) คืออะไร ?

CDNs คือ เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่กระจายและเชื่อมต่อถึงกันตามพื้นที่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก โดยจะทำงานร่วมกันผ่านการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต เพื่อถ่ายโอนข้อมูลจำเป็นสำหรับการโหลดเนื้อหาต่าง ๆ ได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เช่น HTML, วิดีโอ, รูปภาพ และไฟล์ JavaScript เป็นต้น

หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า Content Distribution Networks (เครือข่ายกระจายข้อมูล) ทำหน้าที่เป็นเซิฟเวอร์ตัวกลางที่คอยจัดเก็บข้อมูลและกระจายข้อมูลที่แคชไว้ โดยเป้าหมายหลักของ CDNs คือ การลดระยะห่างทางกายภาพอย่างความล่าช้าระหว่างเซิฟเวอร์ต้นทางและผู้ใช้งานปลายทาง

ตัวอย่างการทำงานของ CDNs:

สมมติว่าเซิฟเวอร์ต้นทางของเว็บไซต์ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น แต่มีผู้ใช้งานจากสหภาพยุโรปต้องการเข้าถึงข้อมูลนั้น ๆ CDNs ก็จะทำหน้าที่ให้บริการข้อมูลจาก Edge Server ที่ตั้งอยู่ในสหภาพยุโรป โดยการส่งข้อมูลจาก Proxy Server ที่ใกล้ตัวกับผู้ใช้งานมากกว่าเซิร์ฟเวอร์ต้นทางในญี่ปุ่น เพื่อให้ผู้ใช้งานจากสหภาพยุโรปเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

 

Content Delivery Network (CDNs) เปิดตัวครั้งแรกในช่วงปลายยุค 90 โดยมีวิวัฒนาการที่แบ่งออกได้ 3 รุ่น ดังนี้

- First Gen (Static CDNs) เปิดตัวในปี 1997

- Second Gen (Dynamic CDNs) เปิดตัวในปี 2544

- Third Gen (Multi-Purpose CDNs) เปิดตัวในปี 2010

แต่ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ CDNs มากมาย เช่น CloudFlare, Akamai, CDN77 และ Amazon CloudFront เป็นต้น

 

CDN ทำงานอย่างไร ?

หากผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่มีเครือข่ายเซิฟเวอร์ CDN เบราว์เซอร์ก็จะทำการเชื่อมต่อกับเซิฟเวอร์ต้นทางของเว็บไซต์และขอข้อมูลโดยตรง ทำให้อาจเกิดความล่าช้าเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าหากผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีเครือข่ายเซิฟเวอร์ CDN ทางเบราว์เซอร์จะทำหน้าที่ให้บริการขอข้อมูลจาก Edge Server ตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้งานที่สุด จากนั้น Edge Server จะส่งคำขอข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง เพื่อรับข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางมาส่งมอบให้กับผู้ใช้งานปลายทาง พร้อมทั้งแคชไฟล์ตามคำขอให้ทั้งหมด

CDN มีหน้าที่จัดเก็บข้อมูลในเวอร์ชั่นแคชที่อยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลก เรียกว่า Points of Presence (PoPs) ซึ่งแต่ละ PoPs ประกอบไปด้วย Proxy Server ที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารข้อมูลกับผู้ใช้งานบริเวณใกล้เคียงแทนเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง โดยจะมีการคำนวณค่าไดนามิกของ Edge Server ว่าตัวใดอยู่ใกล้ชิดกับผู้ใช้งานมากที่สุด จากนั้น CDNs จะทำการส่งข้อมูลถึงผู้ใช้งานปลายทาง ซึ่งสามารถช่วยลดระยะทางการส่งข้อมูลถึงผู้ใช้งานปลายทางให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

 

เหตุใด CDN จึงมีความสำคัญ ?

บทบาทหลักของ Content Delivery Networks คือช่วยลดระยะเวลาในการโหลดเว็บไซต์ เพราะข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ต้นทางจะอยู่ใกล้กับผู้ใช้งานปลายทางมากยิ่งขึ้น และยังมีบทบาทช่วยทำให้การโหลดเว็บไซต์มีความบาลานซ์ สมมติว่ามีผู้ใช้งานเข้ามาชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน CDN จะช่วยกระจายการเข้าถึงเหล่านี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา Overloading ของเซิร์ฟเวอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์

 

แต่ถึงแม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ต้นทางจะล่ม CDN ก็ยังคงให้บริการข้อมูลที่แคชไว้จาก Edge Server ที่มีอยู่ มั่นใจได้ว่าบริการจาก CDN จะไม่มีการหยุดชะงักอย่างแน่นอน

 

บทบาทต่อมาของ CDN คือช่วยปรับปรุงความปลอดภัยของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกันกับที่ Content Delivery Network ใช้จัดการปัญหาปริมาณเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน ทำให้เว็บไซต์ปลอดภัยจากการคุมคามทางไซเบอร์ รวมถึงป้องกันการโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) อีกด้วย

 

และบทบาทสุดท้ายของ CDN คือช่วยปกป้องเว็บไซต์ผ่านทาง Web Application Firewall (WAF) ด้วยการวิเคราะห์และจัดช่องทางการรับส่งข้อมูลเข้า-ออก จากเว็บไซต์ พร้อมทั้งตรวจสอบคำขอ HTTP แต่ละรายการ และทำการบล็อก (Block) การรับและส่งข้อมูลที่น่าสงสัย เพื่อป้องกันภัยคุกคาม เช่น การเขียนสคริปต์ข้ามไซต์ (XSS), การโจมตีด้วยการแทรก SQL เป็นต้น

 

การใช้ CDN ส่งผลต่อ SEO ของคุณหรือไม่ ?

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ CDN เป็นเรื่องที่น่าท้าทาย เนื่องจากต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคในระดับหนึ่ง จึงมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับ CDN นั่นคือการใช้ CDN จะส่งผลกระทบต่อ SEO หรือไม่?

 

โดยทั่วไปแล้ว การใช้ CDN จะไม่มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ และยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี อย่างการเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ก็ช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีต่อเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้คะแนน Core Web Vitals ดีขึ้นตามไปด้วย

 

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานยังมีความกังวลเกี่ยวกับการโฮสต์รูปภาพบนโดเมน CDN แทนที่จะเป็นโดเมนของเว็บไซต์ เพราะกลัวว่าจะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับบน Google ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ถูกคลี่คลายลงแล้ว เนื่องจากตัวแทนของ Google ได้กล่าวไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะใช้โดเมนเดียวกันเพื่อโฮสต์รูปภาพ ก็ไม่มีผลต่อการจัดอันดับ SEO และยังมีข้อดีของการโฮสต์รูปภาพในโดเมนเดียวกันอีกด้วย นั่นคือจะทำให้กระบวนการเปลี่ยน CDN มีความตรงไปตรงมามากขึ้น

 

คำถามที่พบบ่อย

CDN กับ DNS คืออะไร ?

DNS ย่อมาจาก Domain Name Server มีหน้าที่แปลชื่อโดเมนเป็น IP Address (IP) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องจำชื่อที่อยู่ IP Address และถ้าหากเบราว์เซอร์ขอโดเมนที่จัดการโดยเซิร์ฟเวอร์ CDN เซิร์ฟเวอร์ DNS ก็จะทำหน้าที่กำหนด Edge Serverที่ดีที่สุด เพื่อจัดการคำขอนั้นตามที่อยู่ IP Address นั่นเอง

 

เซิร์ฟเวอร์ CDN คืออะไร ?

เซิร์ฟเวอร์ CDN ทำหน้าที่เป็นเซิฟเวอร์ตัวกลางที่คอยจัดเก็บข้อมูลและกระจายข้อมูลที่แคชไว้ ช่วยลดระยะห่างทางกายภาพอย่างความล่าช้าระหว่างเซิฟเวอร์ต้นทางและผู้ใช้งานปลายทาง

สนใจปรึกษาเรา

เริ่มพูดคุยกับเราเพื่อเริ่มต้นโปรเจกต์ของคุณ