Email Marketing หรือ EDM (Electronic Direct Mail) เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดสำหรับการสร้างกลุ่มลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ แม้ปัจจุบัน Email marketing มักจะถูกมองข้ามไป แต่อีเมลยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้อยู่ และยังสามารถสร้างยอดขายให้กับธุรกิจได้ดีโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าเก่า
วันนี้เราจะมาแชร์ 13 สิ่งที่ต้องมีในการทำ Email marketing ให้เหมาะสมและได้ประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเราจะใช้ตัวอย่างอีเมลจาก HubSpot’s
1. หัวเรื่อง (Subject Line) ที่กระชับ ชัดเจน และดึงดูด
อีเมลของคุณอาจเป็นหนึ่งในร้อยอีเมลที่อยู่ใน Inbox ของลูกค้า ซึ่งอีเมลอื่นๆก็อาจจะมาจากผู้ขายหรือบริษัทอื่นๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะทำหัวเรื่องของอีเมลให้กระชับ ชัดเจน สะดุดตา และดึงดูดให้ลูกค้าสนใจเข้าไปอ่าน เพราะมันเป็นสิ่งแรกที่ลูกค้าเห็น ใช้ทุกคำพูดอย่างชาญฉลาดและพยายามอธิบายข้อเสนอให้ชัดเจนที่สุด หลีกเลี่ยงคำพูดที่อาจจะทำให้อีเมลของคุณกลายเป็น SPAM
2. ควรใช้ชื่อผู้ส่งเป็นชื่อบุคคล
การส่งอีเมลจากชื่อบุคคลจะทำให้อีเมลดูเป็นส่วนตัวมากขึ้น คุณสามารถลองทดสอบดูได้ว่าใช้ชื่อผู้ส่งแบบไหน ผู้รับจะเปิดอีเมลมากกว่ากัน ระหว่าง ชื่อบุคคล กับ ชื่อบริษัท
3. มี Branding ชัดเจน:
ลูกค้าไม่ควรจะต้องมีคำถามว่า อีเมลนี้มาจากไหน คุณควรสร้าง template ที่มีแบรนด์และโลโก้ที่เห็นได้ชัดเจน รวมถึงใช้สีของแบรนด์เป็นหลัก หากขาดตรงส่วนนี้ไป จะบ่งบอกถึงความไม่เป็นมืออาชีพของแบรนด์
4. Personalization:
จากการวิจัยพบว่า 1 ใน 3 ของนักการตลาดเชื่อว่า การใช้เทคนิค personalization หรือการนำเสนอเนื้อหาบริการและสินค้า โดยพิจารณาจากลูกค้ารายบุคคลนั้นมีประสิทธิภาพสูง โดย Email marketing นั้นเอื้อต่อการใช้เทคนิคนี้มาก โดยคุณสามารถแบ่งกลุ่มของลูกค้าจากฐานข้อมูล และส่งข้อเสนอเนื้อหาที่เป็นส่วนบุคคลมากขี้นตามพฤติกรรมและความต้องการของแต่ละกลุ่มลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น คุณสามารถปรับใช้คำทักทายโดยระบุเป็นชื่อลูกค้า และลงท้ายด้วยชื่อและรูปภาพของบุคคลหรือพนักงานจากแบรนด์ของคุณ เพื่อสร้างความรู้สึกที่พิเศษให้กับลูกค้าได้อีกด้วย
5. บริบทของข้อเสนอ
คุณควรจะบอกกล่าวกับลูกค้าว่าทำไมสิ่งที่คุณจะนำเสนอถึงมีประโยชน์กับพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะได้อ่านข้อเสนอของคุณ โดยใช้ภาษาที่น่าสนใจ กระชับ กล่าวถึงสถิติเพื่อเน้นย้ำความสำคัญ รวมถึงเพิ่มลิงก์สำหรับข้อเสนอของคุณภายในส่วนนี้ด้วย
6. Call to Action ที่ชัดเจน
ทำข้อความ Call to Action ให้ชัดเจนและโดดเด่น เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อรับข้อเสนอของคุณ และใช้คำพูดที่สร้างความรู้สึกเร่งด่วน เช่น วันนี้ ตอนนี้ เป็นต้น โดยพยายามเชื่อมโยง Call to Action กับข้อเสนอของคุณ เช่น หากเป็นการสัมมนา คุณอาจจะใช้คำพูดว่า ลงทะเบียนสำหรับการสัมมนาทันที หรือ จองที่นั่งของคุณวันนี้
7. คำอธิบายของข้อเสนอ
บอกลูกค้าอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา ว่าลูกค้าจะได้รับอะไรจากข้อเสนอนี้ โดยอาจจะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยๆ (Bullet points) และเน้นประเด็นที่สำคัญ เพื่อแสดงถึงมูลค่าของข้อเสนอ
8. ลิงก์หรือปุ่มแชร์ Social media
หากลูกค้าพบว่าเนื้อหาในอีเมลนั้นมีประโยชน์และอยากจะแบ่งปันกับเพื่อนใน Social media พวกเขาจะทำได้ง่ายขึ้น หากคุณเพิ่มลิงก์หรือปุ่มแชร์ Social media ต่างๆในอีเมล วิธีนี้จะช่วยให้คุณขยายการเข้าถึงเนื้อหาของแบรนด์ และเพิ่มกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพได้มากขึ้นโดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย
9. รูปภาพ
เพิ่มรูปภาพที่ดูเป็นมืออาชีพ และเข้ากับเนื้อหาในข้อเสนอของคุณในอีเมล เช่น หากคุณกำลังนำเสนอการสัมมนา อาจจะใส่ภาพบรรยากาศการสัมมนา หรือหน้าปกสไลด์การนำเสนอของคุณ
10. ข้อเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม
ในกรณีที่ลูกค้าของคุณอาจจะมีความสนใจในผลิตภัณฑ์ของคุณมากขึ้น เช่น อยากทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ หรืออยากได้รับคำปรึกษาส่วนตัว คุณสามารถเพิ่มลิงก์เนื้อหาหรือข้อเสนอผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมในช่วงท้ายของอีเมล
11. ปุ่มติดตาม Social media
เพิ่มโอกาสการเข้าถึง Social media ของแบรนด์ให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยการเพิ่มปุ่มติดตาม Social media ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าติดตามข่าวสารอัพเดทจากแบรนด์มากขึ้น
12. ลิงก์ไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ในปัจจุบันเว็บไซต์ต่างๆมีการพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะมากขึ้น ความกังวลของลูกค้าเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อให้ลูกค้าของคุณสบายใจและรู้สึกปลอดภัย คุณควรใส่ลิงก์ไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัวของแบรนด์ลงในอีเมลด้วย
13.ลิงก์ยกเลิกการรับอีเมล (Unsubscribe)
เพิ่มลิงก์การยกเลิกรับอีเมล หรือ Unsubscribe ที่ด้านล่างของอีเมลเสมอ ตามระเบียบข้อบังคับของ CAN-SPAM หากคุณละเลยข้อบังคับนี้ แบรนด์ของคุณอาจจะต้องเสียความน่าเชื่อถืออย่างร้ายแรง
ถึงแม้ว่า Email Marketing จะไม่ใช่เครื่องมือทางการตลาดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน แต่การทำ Email Marketing นั้นเป็นการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างเจาะจง และสร้าง Lead จากกลุ่มลูกค้าเก่าได้ดีมากๆ เป็นเครื่องมือที่ทำได้ง่าย ประหยัดเวลา และยังสามารถวัดผลได้อีกด้วย หากคุณใช้เครื่องมือทางการตลาดอย่างถูกวิธีและเหมาะสม ก็จะทำให้เครื่องมือนั้นแสดงประสิทธิภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่
{{CTA="/blog"}}