หลายแบรนด์เริ่มมองหา 3D Motion Graphic กันมากขึ้น เพราะมันช่วยให้โฆษณาดูมีชีวิต สะดุดตา และอธิบายฟังก์ชันสินค้าที่ซับซ้อนได้ในไม่กี่วินาที แต่อยากรู้ไหมว่างาน 3D Motion Graphic มันอยู่ในส่วนไหนของการทำโปรดักชันกันแน่?

‍

บางคนคิดว่าเป็นงานหลังถ่ายเสร็จ บางคนคิดว่าเป็นงานที่ทีมกราฟิกใส่เพิ่มตอนท้าย แต่จริง ๆ แล้วการทำ 3D ต้องวางแผนตั้งแต่ก่อนเริ่มถ่าย เพื่อให้ทุกอย่างเข้ากันแบบไร้รอยต่อ!

‍

วันนี้เราจะพาไล่ดูทีละสเตปว่า 3D Motion Graphic มีบทบาทตรงไหน และทำไมทีมโปรดักชันยุคใหม่ต้องใส่ใจขั้นตอนนี้ตั้งแต่ต้นทาง

‍

‍

‍

ขั้นตอนการทำ 3D Motion Graphic แบบละเอียด

‍

ขั้นตอนที่ 1: Pre-production วางแผนก่อนเริ่มสร้างโลก 3D

ก่อนจะเข้าสู่การทำ 3D Motion Graphic ขั้นตอนแรกคือการวางแผนบนกระดาษ ทุกอย่างเริ่มจากการทำความเข้าใจว่าโลก 3D จะเข้ามาช่วยเล่าเรื่องส่วนไหน เช่น สร้างโมเดลสินค้าแบบละเอียด แสดงชิ้นส่วนภายใน หรือสร้างฉากสมจริงที่สถานที่จริงไม่สามารถถ่ายได้

‍

ในช่วง Pre-production ทีมโปรดิวเซอร์และทีม 3D Artist จะทำงานร่วมกันเพื่อกำหนด Look & Feel, Moodboard, Storyboard และ Reference ทั้งหมด เพื่อให้ภาพในหัวไปในทิศทางเดียวกัน หากข้ามขั้นตอนนี้ไป งาน 3D มักออกมาไม่สอดคล้องกับตัวหนังหรือโฆษณาหลัก ทำให้เสียเวลาแก้ซ้ำหลายรอบ

‍

‍

‍

‍

ขั้นตอนที่ 2: Production ถ่ายทำจริงให้เข้ากับสิ่งที่จะทำ 3D

‍

หลายคนคิดว่างาน 3D แยกออกจากการถ่ายทำ แต่จริง ๆ แล้วทีมโปรดักชันต้องเตรียมพื้นฐานให้รองรับงาน 3D ตั้งแต่ตอนถ่าย เช่น

‍

• การถ่ายมุมกล้องที่สอดคล้องกับการจะใส่ Motion Graphic ทีหลัง
• การวาง Tracking Point ถ้าต้องการให้โมเดล 3D ล็อกอยู่กับวัตถุจริง
• การเก็บไฟและเงา (Lighting Reference) เพื่อให้ 3D รีไลท์ได้เหมือนของจริง
• การทำ Clean Plate ถ้าต้องสร้างวัตถุ 3D เข้าไปแทนวัตถุจริง

‍

ช่วง Production จึงเป็นช่วงที่ทีม 3D ต้องอยู่ในเซ็ตหรืออย่างน้อยต้องประสานงานใกล้ชิด ไม่อย่างนั้นการแมตช์ภาพจริงกับงาน 3D จะยากมาก

‍

‍

‍

‍

ขั้นตอนที่ 3: Post-production จุดที่ 3D Motion Graphic ทำงานหนักที่สุด

‍

หลังจากถ่ายทำเสร็จ งานหลักของ 3D Motion Graphic จะเริ่มขึ้นเต็มตัว ขั้นตอนนี้ประกอบไปด้วยหลายเฟสย่อย เช่น

‍

1. Modeling ปั้นโมเดล 3D ของสินค้าและองค์ประกอบต่าง ๆ

การสร้างโมเดลให้ตรงสัดส่วนและสวยงามคือฐานสำคัญของงาน 3D โดยเฉพาะงานสินค้า ที่ต้องเนียนกว่าของจริง และมักต้องปรับรายละเอียดที่ตาเปล่ามองไม่เห็น เช่น เงา เส้นขอบ หรือวัตถุสะท้อนแสง

‍

2. Texturing แต่งผิววัสดุให้สมจริง

วัสดุคือสิ่งที่ทำให้ภาพ 3D ดูแพงหรือไม่แพง เช่น ความเงาแบบพลาสติก ผิวโลหะ ผิวกระจก หรือความหยาบของพื้นผิว การทำ Texturing ที่ดีทำให้ผู้ชมเชื่อว่าโมเดลนั้นมีตัวตนจริง ๆ

‍

3. Lighting จัดแสงให้เข้ากับโทนที่ต้องการ

โฆษณาไลฟ์สไตล์ต้องการแสงนุ่ม ๆ โฆษณาเทคโนโลยีต้องการแสงคม ๆ เวลาทำ 3D Motion Graphic แสงคือสิ่งที่ทำให้ Mood ถูกต้องและช่วยเพิ่มความรู้สึกมืออาชีพให้กับงานทั้งหมด

‍

4. Animation ทำให้สินค้าหรือวัตถุเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหล

ส่วนนี้คือจุดที่ทำให้ Motion Graphic มีชีวิต เช่น หมุนสินค้า แยกชิ้นส่วนภายใน ลอยตัว หรือทำ Transition แบบไดนามิก งาน Animation ที่ดีสามารถอธิบายจุดเด่นสินค้าได้เร็วกว่าการพูดยาว ๆ หลายบรรทัด

‍

5. Compositing ผสาน 3D เข้ากับภาพถ่ายจริง

ขั้นตอนนี้คือการทำให้ทุกอย่างแนบเนียน เช่น การใส่เงา ใส่แสงสะท้อน การปรับสี และทำให้ 3D อยู่ร่วมกับภาพจริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ

‍

‍

‍

ขั้นตอนที่ 4: Final Delivery ตรวจความสมบูรณ์ก่อนส่งงานจริง

‍

หลังผ่านกระบวนการทั้งหมด ทีมจะเข้าสู่ขั้นตอนตรวจความเรียบร้อย เช่น ความสมจริงของวัสดุ ความลื่นของแอนิเมชัน ความละเอียดของไฟล์ ความคมชัด และความสอดคล้องกับ CI ของแบรนด์ ก่อนจะส่งไฟล์ในรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ เช่น 16:9, 9:16, 1:1 หรือเวอร์ชันสำหรับโซเชียล

‍

‍

‍

สรุปได้ว่า 3D Motion Graphic ไม่ได้อยู่แค่ช่วงท้าย แต่มันแทรกอยู่ในทุกขั้นตอนของโปรดักชัน ตั้งแต่การวางแผน การถ่ายทำ ไปจนถึงการ Render และ Compositing โดยการผลิตงาน 3D ที่ดีจะช่วยให้สินค้าดูน่าสนใจขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์อย่างมหาศาล

‍

‍BEP Digital Agencyรับทำ 3D Motion Graphic พร้อมดูแลตั้งแต่การวางคอนเซปต์ เขียนสคริปต์ ออกแบบ 3D ไปจนถึงการถ่ายทำและตัดต่อครบทุกสเตป ถ้าอยากทำให้แบรนด์ของคุณถูกจดจำมากกว่าเดิม ติดต่อเราได้เลย!