Back

วิธีทำ On-Page SEO ให้ดียิ่งขึ้น !

การทำ Content Marketing ให้ปัง และมีประสิทธิภาพ นอกเสียจากการพัฒนา ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการใช้งาน มีคุณภาพ และสนับสนุน Algorithm ในการค้นหาของ Search engine แล้ว จะต้องมีเรื่องของการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ใหกับเว็บไซต์ด้วย เพื่อทำให้เว็บไซต์และบทความของคุณสามารถติดอันดับในหน้าแรกหรืออันดับต้น ๆ ของ Search engine ได้

การปรับแต่ง SEO นั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ On-Page ซึ่งเปรียบเสมือนกับปัจจัยภายในเว็บไซต์ของคุณ และ Off-Page ซึ่งเป็นเหมือนปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ โดยการปรับแต่งทั้งสองอย่างนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้บทความของคุณขึ้นไปอยู่ในลำดับที่สูงขึ้นเมื่อมีการค้นหาใน Search engine เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงและเพิ่ม Traffic แบบ Organic

โดยในวันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีทำ On-Page SEO ให้ดียิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นกันครับ

การทำ On-Page SEO คืออะไร?

การทำ On-Page SEO หรือที่บางคนรู้จักในชื่อ On-Site SEO เป็นการปรับเว็บไซต์และ Content หรือเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสมกับ Search engine และผู้ใช้งาน โดยใช้หลักในการทำ SEO เข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้อง และการทำบทความให้ความรู้ เพื่อทำให้เว็บไซต์หรือบทความของคุณนั้นสามารถติดอันดับตาม Keyword ที่คุณต้องการได้ และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพที่ดีในสายตาของ Search engine

On-Page SEO ประกอบไปด้วยการเขียน Title tag/Meta title/Description, การจัดรูปแบบของ Content, การปรับ URL และ Internal link ให้ดีต่อ SEO, รวมไปถึงการปรับ Keyword ภายในเว็บไซต์ให้ดีขึ้น

โดยทั้งหมดนี้จะต่างจากการทำ Off-Page SEO ซึ่งจะเป็นการจัดการทำบนเว็บไซต์อื่น ๆ เช่น Backlink เป็นต้น

ถึงแม้ว่าการทำ On-Page SEO จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการทำ SEO แต่การทำ On-Page SEO ที่ดีนั้นจะสามารถส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณดีขึ้นแบบยั่งยืน เพราะมันเป็นการสร้างเนื้อหาลงในเว็บไซต์เพื่อให้ความรู้และให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานมากที่สุด โดยสิ่งนี้จะมีผลโดยตรงกับ Conversion rate และ KPI ต่าง ๆ ในการวัดประสิทธิผลของการใช้เว็บไซต์

3 วิธีที่จะทำให้ On-Page SEO ดียิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญในการคัดเลือกเว็บไซต์ที่ตอบสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหามากที่สุด สำหรับ Search Engine อย่าง Google นั้นคือ ความเกี่ยวข้อง (Relevance) และคุณภาพ (Quality)

โดยการปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีความเกี่ยวข้องนั้น จะเป็นการใช้ Keyword ให้ตรงกับสิ่งที่ผู้คนค้นหามากที่สุดในจุดต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์, URL link, และส่วนอื่น ๆ ที่ Google Bot จะสามารถเข้าใจและหาเจอได้ง่าย รวมไปถึงในเรื่องของคุณภาพของบทความ และรูปแบบการนำเสนอที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ Google Bot ให้ความสำคัญ เพราะส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้งานโดยตรง โดย Google Bot นั้นจะมีการตีความจากตัวชี้วัดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์โดยรวม ระยะเวลาที่ผู้ใช้งานอยู่ในหน้าเว็บไซต์ หรือการคลิกต่อไปหน้าอื่นของผู้ใช้งาน

ดังนั้นก่อนที่คุณจะเริ่มทำ On-Page SEO นั้น คุณจะต้องเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ (Sitemap) เสียก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่า ควรนำบทความและเนื้อหาไปไว้ตรงส่วนใดของเว็บไซต์ หลังจากนั้นจึงเริ่มวางแผน Keyword ที่คุณต้องการ ลักษณะของบทความที่จะเขียน และส่วนประกอบอื่น ๆ 

seo onpage sitemap

การทำให้บทความ หรือ Content ของคุณติดอันดับสูง ๆ บน Google นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากคุณทำตาม 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่เรานำมาเสนอในวันนี้ จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับที่ดีขึ้นบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine อย่าง Google แน่นอน

การจัดรูปแบบเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานและ Google Bot

หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับที่ดีขึ้นใน Google และมีกลุ่มผู้ใช้งานสนใจอ่านบทความเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น คุณควรเตรียมแผนการในการจัดรูปแบบการแสดงผลของเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งาน แสดงผลได้ดีในทุกอุปกรณ์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ และวางแผนโครงสร้างเว็บไซต์ที่ทำให้ Google Bot สามารถเข้าใจได้ง่ายดาย

แบ่งหัวข้อย่อยด้วย Heading 2 และ Heading 3 (H2 tag & H3 tag)

ปรับ heading onpage seo

วิธีที่จะช่วยในการปรับ On-Page SEO ได้เป็นอย่างดี คือการจัดรูปแบบ แบ่งเนื้อหาเป็น Subheading หรือ Heading 2 ซึ่งคุณสามารถใส่ Keyword ที่ต้องการลงบน Tag เหล่านี้ได้ ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมในส่วนของ Technical SEO อีกด้วย

โดยการปรับเนื้อหาให้มี Heading 2 และ Heading 3 นั้น จะช่วยแบ่งเนื้อหาเป็นสัดเป็นส่วน ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาที่คุณต้องการสื่อได้ง่ายดายมากขึ้น และยังสามารถใส่ Keyword เป้าหมายที่คุณต้องการได้อีกด้วย

ทริคเล็กน้อยสำหรับการทำ Subheading : คุณควรที่จะใช้ Heading 2 ในทุก ๆ 300 คำของบทความ และใส่ Heading 3 สำหรับเนื้อหาประมาณ 50 คำถ้าเป็นไปได้ โดยสามารถใช้ Keyword เป้าหมายของคุณในทุก ๆ หัวข้อย่อยที่เป็นคำถาม

มากไปกว่านั้น คุณสามารถใช้ Google Search Console (GSC) ในการช่วยปรับแต่ง On-Page SEO ได้ โดยสามารถเปิด Google Search Console เพื่อดูข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ คำค้นหาใดที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณแสดงบนหน้าผลลัพธ์การค้นหา และตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่คุณสามารถนำมาใช้เป็น Heading 2 และ Heading 3 ให้กับบทความเดิมได้อีกด้วย

ทำให้แต่ละ Paragraph สั้นลง

ทำให้ paragraph สั้นลง

หากเนื้อหาแต่ละส่วนของคุณยาวมากจนเกินไป จะทำให้อ่านยาก และดูไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการอ่านผ่านโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นหากคุณต้องการให้บทความของคุณนั้นเหมาะสมกับการอ่านในทุกช่องทาง ได้รับความสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ควรแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนเล็ก ๆ ไม่ยาวจนเกินไป โดยอาจจะมีการกำหนดไว้ที่ Paragraph ละไม่เกิน 100-150 คำ เพื่อให้อ่านได้ง่ายที่สุด

ใช้ Bullet points

การเน้นเนื้อหาในส่วนที่สำคัญ และสรุปเป็นข้อ ๆ นั้น ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นการใช้ Bullet points จึงถือเป็นสิ่งสำคัญในการเขียนบทความเช่นกัน นอกจากนี้การใช้ Bullet points ยังมีส่วนเสริมในเรื่องของ SEO อีกด้วย

ทริคเล็กน้อยสำหรับการใช้ bullet points : คุณควรใช้ Bullet points ประมาณ 3-7 อัน เพื่อให้กระชับและอ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่ยาวจนเกินไป อีกทั้งยังสามารถใช้ในส่วนของย่อหน้าแรกของเนื้อหาเพื่อเป็นการสรุปเนื้อหาทั้งหมดของบทความ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้ตั้งแต่เริ่มอ่าน

ประโยชน์ของการใช้ Bullet points ได้แก่

  • ช่วยในการแบ่งเนื้อหาออกเป็นข้อ ๆ ทำให้อ่านได้ง่ายมากขึ้นไม่ว่าจะอ่านผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ
  • เป็นการสรุปสิ่งสำคัญของบทความ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
  • สามารถใส่ Internal link ได้ในส่วนของสารบัญ เพื่อช่วยในเรื่องความสะดวกในการใช้งาน

การปรับเนื้อหาในเว็บไซต์เพื่อ Featured Snippets

Featured Snippets เป็นการนำเนื้อหาของเว็บไซต์มาแสดงผลในรูปแบบของข้อความ ตาราง หรือรูปภาพในตำแหน่งที่ 0 หรือตำแหน่งบนสุดของผลลัพธ์การค้นหาบน Google ที่เป็น Organic Search โดยไม่รวมส่วนที่เป็นโฆษณา ซึ่ง Featured Snippets จะช่วยทำให้ผู้ใช้งานพบคำตอบที่ตรงกับคำที่ต้องการค้นหาได้ในทันที

ซึ่ง Featured Snippets เป็นส่วนหนึ่งของการปรับ Algorithm ของ Google เพื่อให้ผู้ใช้งานเจอเนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่กำลังค้นหามากที่สุด ซึ่งหากคุณใช้ Featured Snippets จะสามารถช่วยส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ของคุณดียิ่งขึ้น และยังช่วยเพิ่ม Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย

โดยเหตุผลที่ควรปรับเว็บไซต์ของคุณเพื่อให้ติดบน Featured Snippets

  • ได้แสดงผลอยู่ในตำแหน่งบนสุดของผลลัพธ์การค้นหาบน Google
  • ช่วยทำให้ติดอันดับที่ดีขึ้นสำหรับ Keyword เป้าหมาย
  • ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของเว็บไซต์ และแบรนด์คุณให้ดีมากขึ้น
  • เพิ่ม Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • ได้รับ Backlink เพิ่มขึ้น เพราะมีผู้เข้าชมคลิกเข้ามาอ่านบทความมากขึ้น
  • ทำให้เว็บไซต์ของคู่แข่งมีอันดับที่ต่ำลงไป

Google นั้นจะแสดงผลลัพธ์โดยอ้างอิงจาก Search Intent หรือจุดประสงค์ของการค้นหา ซึ่งจะมีการใช้ข้อมูลการค้นหาและประวัติการค้นหาร่วมด้วย โดย Featured Snippets จะมีการแสดงผลอยู่ด้วยกัน 3 รูปแบบได้แก่

แสดงผลแบบ Paragraph สั้น ๆ บน Featured Snippets

Featured Snippets ชนิดนี้จะช่วยทำให้ On-Page SEO ของเว็บไซต์คุณดีขึ้น ปรับรูปแบบการแสดงผลของบทความของคุณดีขึ้น และช่วยสรุปเนื้อหาที่สำคัญเกี่ยวกับบทความของคุณ โดยนำ Paragraph แรกของบทความของคุณไปแสดง ซึ่ง Paragraph ที่แสดงผลอยู่บน Featured Snippets นั้นจะเป็นคำอธิบายสั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา โดยมีเนื้อหาประมาณ 40-50 คำ

แสดงผลแบบ List บน Featured Snippets

หากบทความของคุณมี Bullet points สำหรับเนื้อหาที่สำคัญ หรือตัวเลขที่แสดงเกี่ยวกับวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ของแต่ละบทความ Featured Snippets ชนิดนี้จะเป็นการนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาแสดงในรูปแบบของ List

การแสดงผลแบบตาราง บน Featured Snippets

ในบางครั้ง Featured Snippets ก็แสดงผลข้อมูลในรูปแบบตาราง 3-4 คอลัมน์ พร้อมกับ 6-7 แถว ซึ่งอาจเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับราคา หรือการเปรียบเทียบต่าง ๆ โดยคุณสามารถเพิ่มตารางในรูปแบบ HTML เข้าไปในบทความของคุณ สำหรับการสรุปผลข้อมูลหรือการอธิบายแบบเป็นขั้นเป็นตอนได้

การใส่หน้า FAQ ในเว็บไซต์

faq ในเว็บไซต์

หน้า FAQ หรือ Frequently Asked Questions คือหน้าเพจที่คุณสามารถสร้างบทสนทนากับผู้ใช้งานได้ โดยจะรวบรวมคำถามที่เจอบ่อย ๆ ในหัวข้อเรื่องต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลพื้นฐาน และคำตอบที่พวกเขาอยากรู้ได้ อีกทั้งหน้า FAQ ยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ได้มากขึ้น และสามารถนำข้อมูลไปแสดงผลได้ดีมากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ คุณควรหมั่นอัพเดทปรับปรุงคำถามและคำตอบในหน้า FAQ ให้เท่าทันสถานการณ์ในปัจจุบันอยู่เสมอ เพราะหากไม่มีการอัพเดทหน้าเพจที่สำคัญอย่าง FAQ อาจส่งผลทำให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์ของคุณคิดว่า คุณไม่ดูแลใส่ใจเว็บไซต์ของคุณ และส่งผลต่อภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก

ประโยชน์ของการมีหน้า FAQ ในเว็บไซต์

  • ช่วยเพิ่ม Impressions : หน้า FAQ สามารถช่วยเพิ่ม Organic impression ได้ อีกทั้งยังส่งผลให้ CTR ดีขึ้น เพราะเป็นเนื้อหาที่ผู้คนต้องการหาบ่อย ๆ อีกด้วย
  • ช่วยเพิ่มจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์ : จำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อเว็บไซต์ของคุณมี Impression มากขึ้น
  • ช่วยเพิ่มเรื่อง Interlinking : คุณสามารถเพิ่มลิ้งก์ไปยังบทความอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ ในหน้า FAQ ได้ เพื่อช่วยเพิ่ม Engagement ให้กับเว็บไซต์
  • ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ในโลกออนไลน์ : หน้า FAQ นั้นมีส่วนช่วยให้เนื้อหาของเว็บไซต์ถูกแสดงผลในหน้าผลลัพธ์หารค้นหามากขึ้นได้ อีกทั้งยังทำให้เว็บไซต์คู่แจ่งมีอันดับที่ต่ำลงจากการแสดงผลปกติ

หวังว่าเคล็ดลับที่เรานำมาฝากกันในบทความนี้ จะช่วยให้คุณทราบวิธีการทำ On-Page SEO ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายของคุณมากที่สุดนะครับ

{{CTA="/blog"}}

Blogs Recommended

Back to top