ในปัจจุบัน ผู้คนมักให้ความสนใจกับธุรกิจ E-Commerce หรือการทำธุรกิจซื้อขายสินค้าและโฆษณาออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เยอะขึ้นมาก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการทำธุรกิจ
จากเดิมที่คุณมักจะพบเจอธุรกิจแบบ B2C หรือ Business-to-Customer เป็นส่วนมาก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่คุณทราบหรือไม่ว่า จริง ๆ แล้วในกระบวนการผลิตต่าง ๆ ก่อนที่จะมาถึงมือผู้บริโภคอย่างเรานั้น จะต้องผ่านรูปแบบธุรกิจอีกมากมาย
และหากคุณเกี่ยวข้องหรือกำลังศึกษาเกี่ยวกับการทำธุรกิจ E-Commerce คุณอาจจะเคยเห็นคำย่อที่นอกเหนือจาก B2C อย่าง B2B, C2C, หรือ B2B2C มาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยว่า การทำธุรกิจแบบ B2B คืออะไร และแตกต่างจากรูปแบบการทำธุรกิจแบบอื่นอย่างไรบ้างกันครับ !
ธุรกิจแบบ B2B คืออะไร?
B2B หรือ Business-to-Business เป็นรูปแบบการทำธุรกิจที่เป็นการซื้อขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจเท่านั้น ไม่ใช่การซื้อขายในนามบุคคล โดยเป็นการตอบสนองความต้องการทางด้านธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้า, เป็นผู้ผลิตสินค้าวัตถุดิบให้กับธุรกิจอื่น ๆ, กระจายสินค้าไปยังผู้บริโภค, หรือการให้บริการในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์และช่วยพัฒนาธุรกิจให้เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
- โรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ เช่น OEM ทำวัตถุดิบหรือขายต่อสินค้าให้กับร้านค้าอื่น ๆ
- บริการแอปพลิเคชันซอฟแวร์ที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน
- บริการด้านโลจิสติกส์ จัดส่งสินค้า
- ธุรกิจให้เช่าและบริหารคลังสินค้า โกดัง
- บริษัทรับทำความสะอาด บริษัทรักษาความปลอดภัย
- เอเจนซี่ด้านการตลาดและโฆษณา
ธุรกิจแบบ B2B นั้นได้มีการขยายจากตลาดออฟไลน์มาสู่ตลาดออนไลน์ เช่นเดียวกันกับธุรกิจแบบ B2C แตกต่างกันที่ B2B นั้นจะเป็นการทำธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจและเจ้าของธุรกิจ โดยมีลักษณะเด่นคือ จะมีการซื้อขายในปริมาณที่ค่อนข้างสูงกว่าธุรกิจแบบ B2C หรือการซื้อขายกับผู้บริโภคโดยตรง
ธุรกิจแบบ B2B แตกต่างจากธุรกิจแบบอื่นอย่างไร?
นอกจาก B2B แล้ว ยังมีรูปแบบธุรกิจอีกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น B2C, B2B2C, หรือ C2C ที่คุณอาจจะพอคุ้นหูอยู่บ้าง แล้วรูปแบบธุรกิจเหล่านี้ แตกต่างจากธุรกิจแบบ B2B อย่างไรบ้าง มาดูกันเลยครับ
B2B แตกต่างจาก B2C อย่างไร?
ธุรกิจแบบ B2C หรือ Business-to-Customer น่าจะเป็นคำย่อที่ทุกคนคุ้นเคยกันมากที่สุด เป็นรูปแบบธุรกิจการซื้อขายสินค้าระหว่างธุรกิจและผู้บริโภคทั่ว ๆ ไปโดยตรง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของทุกคนอยู่แล้ว เพราะผู้บริโภคอย่างเราสามารถซื้อสินค้าและใช้บริการต่าง ๆ ทั้งจากซื้อสินค้าและบริการจากช่องทางออนไลน์ การซื้อของหน้าร้านขายสินค้า หรือตามร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเข้าร้านทำผม การรับประทานอาหารในร้านอาหาร เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่าง B2B และ B2C
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างธุรกิจแบบ B2B และ B2C คือ กลุ่มลูกค้าที่ทำการซื้อขาย และปริมาณในการซื้อขาย นอกจากนี้ยังรวมไปถึงกระบวนการในการซื้อขาย และการทำการตลาดอีกด้วย
นอกจาก B2B และ B2C แล้ว ยังมีรูปแบบธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างทั้งสองรูปแบบอย่าง B2B2C ด้วย
ธุรกิจแบบ B2B2C คืออะไร?
B2B2C หรือ Business-to-Business-to-Customer เป็นรูปแบบธุรกิจระหว่างธุรกิจสู่ธุรกิจและส่งต่อไปยังผู้บริโภค เป็นการรวม B2B และ B2C เข้าด้วยกันเพื่อทำให้ธุรกิจสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อขายและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคนั่นเอง
โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือแพลตฟอร์ม Marketplace อย่าง Shopee และ Lazada ที่เป็นตัวกลางในการนำเจ้าของธุรกิจต่าง ๆ มาเจอกับผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์ม ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มได้อย่าง่ายดาย หรือจะเป็นธุรกิจออฟไลน์อย่าง Makro ที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ผลิตและร้านค้าทั่วไป
ความแตกต่างระหว่าง B2B และ B2B2C
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างธุรกิจแบบ B2B และ B2B2C คือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดย B2B เป็นการซื้อขายระหว่างธุรกิจและธุรกิจ จึงทำให้อาจจะมีฐานลูกค้าน้อย เมื่อเทียบกับการเป็น B2B2C เพราะเป็นรูปแบบธุรกิจที่สามารถขยายกลุ่มลูกค้าให้ใหญ่ขึ้น ครบวงจรมากขึ้น
คุณคงได้ทราบความแตกต่างของรูปแบบธุรกิจต่าง ๆ ไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นความท้าทายในการทำธุรกิจอย่างหนึ่งว่าควรจะดำเนินธุรกิจในรูปแบบใด ใช้กลยุทธ์แบบใด แล้วจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้สินค้าและบริการของคุณประสบผลสำเร็จมากที่สุด เพราะการทำธุรกิจให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าในกระบวนการทำงาน แต่ยังช่วยให้คุณทำการตลาดได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อยอดขายและกำไรของธุรกิจอย่างแน่นอน
หากคุณยังไม่แน่ใจว่าธุรกิจของคุณควรทำการตลาดแบบใด สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลย
>>https://www.bepgroup.space/contact
{{CTA="/blog"}}