จากการทำ Content Marketing ให้กับแบรนด์มามากกว่า 100 Content ในปี 2023 บริษัท BEP Digital อยากจะมาแชร์วิธีการและเทคนิคเขียนคอนเทนต์ที่นำไปใช้ได้สำหรับทุกช่องทาง โดยเล่าแบบหมดเปลือก ใครก็ตามที่ได้อ่านบทความนี้สามารถนำไปปรับปรุงใช้กับคอนเทนต์ของตัวเองได้ เพื่อให้ได้คอนเทนต์ปังๆ ต้อนรับปี 2024 ที่กำลังจะมาถึงครับ
พร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลย
สิ่งที่ทำให้คอนเทนต์ประสบความสำเร็จคืออะไร
การเขียนคอนเทนต์จริงๆแล้วคือการโปรโมตขายของ หรือการทำใบปลิวแจกนั่นเอง เพียงแต่เรามีการปรับให้เข้ากับช่องทางการตลาดที่เอื้อในการส่งข้อความเหล่านี้เข้าสู่กลุ่มเป้าหมายของเรามากขึ้น
ซึ่งการทำแบบนี้อาจช่วยส่งเสริมการขายได้ไม่มากก็น้อย !
โดยในอดีต การทำคอนเทนต์ออนไลน์คือการทำเพื่อตอบโจทย์สำหรับ Search Engine หรือการทำ SEO ซึ่งคือการอัด Keyword ที่มีโอกาสติด Google ได้ง่ายเข้าไปในบทความเยอะ ๆ และก็หวังว่าจะให้บทความของคุณติดหน้าแรกและมีคนคลิกเข้าเว็บไซต์เยอะมากขึ้น
ถึงแม้ว่าการทำเช่นนี้จะดีกับ SEO ทำให้มีคนเห็นบทความของคุณบนหน้าแรกของ Search Engine ได้อย่างแน่นอน แต่กลยุทธ์นี้อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป ! เพราะคนที่เข้ามาอ่านคอนเทนต์จะรู้ได้ในทันทีว่า บทความนี้เขียนให้ Google และไม่ตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา
Google เองก็ได้เล็งเห็นถึงปัญหาส่วนนี้และได้ทำการอัปเดตครั้งใหญ่ไปในปี 2023 โดยปรับให้คอนเทนต์หรือบทความที่มีประโยชน์กับผู้อ่านจริง ๆ มีโอกาสติดหน้าแรกได้มากกว่าบทความที่อัด Keyword เข้าไป ซึ่งการอัปเดตนี้อาจทำให้บทความที่อัด Keyword เข้าไปเยอะ ๆ ไม่สามารถติดหน้าแรกอีกต่อไป เท่ากับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสำหรับปี 2024 คือการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพสูง เนื้อหาตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังมองหา และหากอยากให้บทความของคุณติดหน้าแรกบน Google เราต้องมีการทำ SEO ที่ใช้เทคนิคสูงกว่าเดิม นอกเหนือจากการอัด Keyword เข้าบทความครับ
สร้างบทความให้คนอ่านไม่ใช่ Search Engine
ปกติเราหาข้อมูลจาก Google กันเป็นส่วนใหญ่ถูกไหมครับ การเสิร์ชหาด้วยคำที่เราต้องการเรามักจะได้ข้อมูลที่เรากำลังมองหาไม่ว่าจะเพื่อความรู้ เพื่อ Cf สินค้า หรือการแก้ปัญหาในบ้าน โดยส่วนใหญ่เว็บไซต์ที่โผล่ขึ้นมามักจะเป็นบทความที่มีประโยชน์กับเราทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน เวลาเราทำคอนเทนต์สักหนึ่งอันออกมา เราต้องการให้ผู้อ่าน คลิกเข้ามาอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ของเรา และได้ข้อมูลที่ต้องการกลับไป
แต่ถ้าบทความของเราไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับลูกค้า จะเกิดอะไรขึ้น
โดยผลกระทบจะมีด้วยกันหลายรูปแบบครับ
- ไม่ได้สนใจอะไรมาก เข้าเว็บไซต์มา ไม่เจอของที่ต้องการ ก็ออกไปหาที่เว็บไซต์อื่น
- ผูกใจเจ็บ และจำว่าเว็บไซต์นี้ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ดี เวลาหาอะไรเพิ่มเติมจะไม่เข้ามาอีก
- เข้าเว็บไซต์มา เจอข้อมูลที่ต้องการ แต่เป็นข้อมูลที่ก็อปปี้จากเว็บไซต์อื่นมาดื้อ ๆ ไม่ค่อยบอกอะไร ก็จะออกไปหาข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นแทน
ดังนั้นบทความที่ไม่มีคุณภาพ ที่เอาลงเว็บไซต์ไป อาจส่งผลมากกว่าที่คุณคิด แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ อย่าทำบทความเพื่อให้คนคลิกเข้าอย่างเดียว พยายามให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายของคุณด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมจะอธิบายในหัวข้อถัดไป
รู้จักกลุ่มเป้าหมายของเรา
การเขียนคอนเทนต์เพื่อกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่คำถามคือ คุณได้ทำการแตกกลุ่มเป้าหมายของคุณออกมาให้ละเอียดที่สุดหรือยัง? เช่น การเขียนบทความโดยมองไปถึงว่า กลุ่มผู้อ่านวัยทำงานอาจจะต้องใช้การเขียนแตกต่างกับกลุ่มผู้อ่านที่มีอายุหน่อย
การเขียนบทความที่ดีควรคำนึงถึงผู้อ่านหลาย ๆ กลุ่ม มี Format การเขียนที่รองรับผู้อ่านแต่ละกลุ่มด้วยนะครับ เช่น มีสรุปเป็น Bullet Point เหมาะกับกลุ่มที่ไม่ต้องการข้อมูลแบบละเอียด หรือมีรูปภาพเยอะ ๆ เพื่อให้กลุ่มผู้อ่านที่ต้องการดูภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจ
แล้วเราจะใช้วิธีไหนในการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเรากันล่ะ ? คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ ใน 2-3 วิธีครับ
- ส่ง Survey แบบสอบถาม ท้ายบทความ หรือหลังซื้อสินค้าไปเพื่อดูว่า ใครเป็นกลุ่มลูกค้าของเราบ้าง
- วิเคราะห์ Website Traffic ด้วย Google analytic (ใช้งานได้ฟรีครับ)
- ลองใช้ Social Media ช่วยครับ เช่น Engagement จาก Comment ใน Post ของเราเป็นอย่างไร มีใครบ้าง
การเขียนคอนเทนต์ให้ครบทั้ง Customer Journey
การเขียน Content ที่ดีควรทำให้ครบทั้ง Loop ของ Customer Journey นะครับ
- TOFU (Top of the funnel) อาจจะเป็นการให้ข้อมูลกว้างๆ บอกข้อดีเป็นหลักเพื่อสร้างความต้องการ
- MOFU (Middle of the funnel) การให้ข้อมูลเปรียบเทียบให้ลึกขึ้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ
- BOFU (Bottom of the funnel) เน้นโชว์การใช้งานให้เห็นภาพ หรือเน้นขายของโดยตรง ส่วนลด โปรโมชัน และอื่น ๆ
การเข้าใจว่าลูกค้าต้องการจะรู้อะไร
การเขียนบทความที่ให้ข้อมูลที่ดีที่สุด คือการให้ในสิ่งที่ลูกค้าควรรู้ครับ ไม่ใช่การให้ทั้งหมด เพราะข้อมูลอาจจะเยอะจนเกินไป
วิธีค้นหาสิ่งที่ลูกค้าอยากรู้
- ลองหาจาก Search Term ในช่องหาข้อมูลใน Google ครับ อันนั้นจะทำให้เราเห็นคร่าวๆว่า คนส่วนใหญ่ค้นหาข้อมูลในด้านไหนกัน ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นการรีเสิร์ชข้อมูลอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้เราเห็นมุมมองอื่น ๆ ด้วยครับ
- ลองหยิบตัวอย่างจากกลุ่มลูกค้าเก่า หรือจากประสบการณ์ของตัวเองดู บางทีลูกค้าอาจจะไม่รู้ก็ได้ครับว่าเขาต้องการอะไร เราอาจจะมีการตั้งต้นไปให้เขาก่อน โดยเริ่มจากประสบการณ์ของเราเอง
การทำคอนเทนต์หลาย ๆ แบบ
การทำคอนเทนต์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บทความนะครับ ในบางครั้งเราอาจจะต้องการภาพนิ่ง หรือวิดีโอสาธิตเพิ่มเติม เช่น หากคุณซื้อเฟอร์นิเจอร์มาต่อเองที่บ้าน เวลาอ่านคู่มืออาจจะไม่ได้ขั้นตอนที่ชัดเจน สุดท้ายต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยการหาวิดีโอจากที่คนอื่นเคยประกอบไว้ เพื่อลองดูว่าสิ่งที่เรากำลังทำถูกต้องหรือไม่
พอเห็นภาพใช่ไหมครับ?
ทีนี้เรามาลองดู Format คอนเทนต์ที่ควรทำกันครับ
Blog
เหตุผลของการทำบทความ คือช่วยในเรื่องความน่าเชื่อถือครับ ในบทความเราสามารถใส่ข้อมูลอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ตารางเปรียบเทียบ, วิดีโอ, ภาพนิ่ง, และบทความ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่คนเจอเป็นสิ่งแรกครับ เพราะปกติเราเสิร์ชข้อมูลกันก่อนถูกไหมครับ?
Infographic
การทำ Infographic ช่วยทำให้เห็นภาพมากขึ้น โดยหากสินค้ามีขั้นตอนหรืออื่น ๆ ที่ต้องการให้ลูกค้าเข้าใจข้อมูลที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น สามารถใช้ Infographic ได้เลย
Short Form Video
การทำวิดีโอแบบสั้น เราจะเน้นทำเป็นการเล่าเรื่องได้ครับ นอกจากนี้ Short-form Video ยังมี engagement ที่สูงมากทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำ Brand ได้อย่างรวดเร็ว
Case Studies
การทำ Case Study จะช่วยในเรื่องของการแสดงตัวอย่าง ผลลัพธ์จากการใช้สินค้าหรือบริการของเรา คุณสามารถลองดูจากตัวอย่างในหน้า Work ของ BEP ได้ครับ จะเป็น Concept เดียวกัน คือการทำตัวอย่างให้ดู เพื่อจะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพมากขึ้นว่าสิ่งที่เขาต้องการ กับสิ่งที่บริษัทกำลังให้บริการนั้นตรงกันหรือไม่
Social Media Posts
การทำ Social media content อาจจะสั้น ๆ แต่มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น
- ให้ความรู้สินค้า
- นำคอนเทนต์ไปยิง Ads ส่งเข้าหากลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
- การสร้างแรงบันดาลใจ
- การสร้างความต้องการให้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
Gated Content (หรือของแจกฟรี)
คอนเทนต์ประเภทนี้จะต้องแลกมากับการที่ลูกค้าให้ข้อมูลเรา ก่อนที่เราจะส่งข้อมูลที่พวกเขาต้องการกลับไป โดยสิ่งที่คุณจะได้รับคือ Contact Infomartion หรือ Lead ที่มีคุณภาพสูง เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เขาจะสนใจในสินค้าและบริการของเรา เขาถึงยอมให้ข้อมูลกับเรา (ถึงแม้ว่าเขาอาจจะแค่ต้องการของฟรี แต่เราก็ได้ข้อมูลกลับมานะครับ !)
User Generated Content
คอนเทนต์นี้ เราจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่เราจะต้องเตรียมพื้นที่ให้ลูกค้าของเราเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา เช่น Facebook Group สำหรับสินค้าต่าง ๆ โดยเราสามารถเสิร์ชใน Facebook ได้เลย
คอนเทนต์เก่า ๆ ก็มีประโยชน์ ไม่ควรมองข้าม
หากอ่านบทความมาจนถึงตรงนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าทุกคนมีไอเดียสำหรับปี 2024 กันบ้างแล้ว ว่าควรจะเตรียมคอนเทนต์ใหม่ ๆ อย่างไร บางคนอาจจะมีคำถามว่าแล้วบทความจากเมื่อปีก่อน ๆ อย่าง 2012 เราควรทำอย่างไรกับมันดี ?
ผมแนะนำว่า ให้ลองกลับไปรีวิวดูว่าบทความเก่า กับบทความที่เราตั้งใจจะทำใหม่ในปี 2024 ว่ามีส่วนไหนที่คล้ายกันหรือไม่ เพราะคุณสามารถนำบทความเก่ามาเขียน Rewrite ใหม่ ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาทำใหม่ทั้งหมดแล้ว ยังมีจุดที่คุณอาจมองข้ามไป เช่น
- บทความเก่า มีข้อมูลที่ไม่ได้อัพเดท ซึ่งเท่ากับข้อมูลที่ผิด ต้องทำการแก้ไขข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
- หากเป็นบทความ SEO อาจจะมีลิงก์เสียที่ซ่อนอยู่ในนั้น โดยเราอาจลืมไปแล้ว ซึ่งลิงก์เสียนั้นอาจจะทำให้เว็บไซต์ทำ SEO ได้ยากขึ้น
- หากเป็นบทความเก่า ที่ผ่านการทำ SEO มา ผมมั่นใจว่า ยังเป็นการอัด Keyword เข้าบทความอยู่ ซึ่งจากที่เราอธิบายไปข้างต้น Google น่าจะปัดบทความนี้ตกหน้าแรกไปแล้วครับ
ดังนั้นแนะนำว่าควรทำการอัพเดทข้อมูลในบทความเก่า ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีแต่ข้อมูลคุณภาพ ทำให้สามารถติดหน้าแรกบนผลลัพธ์การค้นหาของ Google ผ่านการทำ SEO ได้ง่ายขึ้น !
BEP Group ยังเป็นเพื่อนที่คอยช่วยผลิตคอนเทนต์ให้กับทุกท่านอยู่ในปี 2024
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ หวังว่าข้อมูลที่ทางเราได้รวบรวมมาในบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ หากใครกำลังวางแผนทำการตลาดในปี 2024 และอาจจะยังขาดทีมทำคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเหลือสามารถติดต่อเข้ามาพูดคุยกับทางเราได้ที่
💬 LINE: https://lin.ee/5s0LAtz
🌐 Website: https://www.bepgroup.space
{{CTA="/blog"}}